นิทานตลกหยาบโลน

(อีสาน)

นิทานตลก เป็นเรื่องเล่าที่มุ่งความสนุกสนาน ความบันเทิงใจอย่างแท้จริง เรื่องตลก
เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกชาติ ทุกภาษา นิทานตลกจึงมีมาก มีการจดจำและเล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน อาจแยกย่อยออกไปอีกมาก เช่น นิทานคนโง่ นิทานคนฉลาด นิทานโกหก เป็นต้น

นิทานตลกหยาบโลน เป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของนิทานตลก มักเล่าแบบปากต่อปาก ความสนุกสนานอยู่ที่เนื้อเรื่อง น้ำเสียง และลีลาการเล่านิทาน มักจะไม่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ถึงบันทึกก็ไม่อาจเขียนได้อย่างที่เล่า

การเล่าเรื่องตลกหยาบโลนมักเล่ากันในหมู่ผู้ใหญ่ หรือผู้มีประสบการณ์ชีวิตแล้ว เรื่องประเภทนี้จึงเล่าและฟังได้ทั้งหญิงและชาย หากวิเคราะห์ด้วยใจเป็นธรรม นิทานตลกนอกจากจะทำให้เรามองเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน วัฒนธรรม ความเชื่อ สภาพแวดล้อม และการทำมาหากินแล้ว โดยเนื้อเรื่องของนิทานยังมุ่งเสนอหรือสอนเรื่องเพศอย่างชาญฉลาดอีกด้วย ผู้ศึกษานิทานประเภทนี้จึงควรศึกษาอย่างวิเคราะห์ด้วยความสุขุม ด้วยปัญญา เพื่อให้ได้ทั้งความรู้และความบันเทิงเช่นกัน

ต่อไปนี้เป็นนิทานตลกหยาบโลนของภาคอีสาน (สาร สาระทัศนานันท์ 2538:1-42)




นิทาน เรื่องหอมจริงหรือ

มีผู้หญิงสาวคนหนึ่ง มีรูปร่างสวยเหลือเกิน ในละแวกตำบลหมู่บ้านนั้น ดูเหมือนจะไม่มีสาว ๆ คนใดสวยเท่า พวกหนุ่ม ๆ ต่างพูดกันเล่น ๆ ว่า หากสาวคนนี้ขี้ออกมาจะต้อง เป็นขี้ผึ้งทาปากและถ้าเยี่ยวออกมาจะต้องกลายเป็นน้ำมันใช้ทาผมได้ และยิ่งกว่านั้นยังลือกันว่า ของลับสาวนี้มีกลิ่นหอมเหลือเกิน

อยู่มาวันหึ่ง หญิงสาวคนนี้ไปตักน้ำในแม่น้ำใกล้ ๆ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ลึกและกว้างพอสมควร ณ ที่ท่าน้ำนั้นมีหาดทรายกว้างพอสมควรแห่งหนึ่งด้วย

มีไอ้หนุ่มคนหนึ่งหลงรักหญิงสาวคนนี้อย่างชีวิตจิตใจ และอยากจะทราบเหลือเกินว่า สาวคนนี้ของลับหอมจริงไหมหนอ ดังนั้นเมื่อหญิงสาวคนนี้หาบถังลงไปตักน้ำที่ท่าน้ำจึงเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ค่อย ๆ ติดตามไปด้วย พอหญิงสาวไปถึงท่าน้ำ เผอิญปวดเยี่ยวจึงวางถังไว้ริมแม่น้ำ แล้วรื้อผ้าซิ่นขึ้นนั่งยอง ๆ เยี่ยวลงที่หาดทราย ไอ้หนุ่มคนนั้นได้โอกาสเหมาะจึงรีบวิ่งไปข้างหลังหญิงสาว แล้วรีบเอามือข้างหนึ่งล้วงลงไปใต้ก้นหญิงสาว พร้อมกับเอานิ้วมือแยงเจ้าไปในรูของลับทันที ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำอย่างรวดเร็ว หญิงสาวตกใจอย่างยิ่ง ปากก็ร้องแล้วรีบลุกขึ้นพร้อมกับเหลียวหลังมาเห็น ไอ้หนุ่มคนนั้น หญิงสาวรู้สึกโกรธจัด ปากก็ร้องด่าอย่างเจ็บแสบ พร้อมกับคว้าไม้คานไล่ตีไอ้หนุ่ม ไอ้หนุ่มวิ่งหนีไปทางท่าน้ำและว่ายน้ำหนีไปยังอีกฝั่งข้างหนึ่ง ขณะที่ว่ายน้ำไอ้หนุ่มพยายาม ชูมือข้างแยงรูของลับหญิงสาวให้พ้นน้ำสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเกรงว่าเมื่อน้ำถูกมือกลิ่นของลับจะระเหยไปเสียก่อนที่จะได้ดม เมื่อพยายามใช้เท้าสองข้างและมืออีกข้างหนึ่งว่ายน้ำไปจนถึงฝั่งแล้ว ไอ้หนุ่มรู้สึกดีใจมากที่จะได้ดมกลิ่นของลับหญิงสาว พอขึ้นบนบกก็เข้าไปในสวน ชาวบ้านแห่งหนึ่งซึ่งปลูกกอตะไคร้และต้นแมงลักไว้




เมื่อถึงที่เหมาะไอ้หนุ่มก็ยกมือที่แหย่รูของลับหญิงสาวขึ้นดม และสูดลมหายใจเข้าไปย่างเต็มที่ แต่แทนที่จะหอมดังใจคิด กลับปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นอย่างที่แทบจะอาเจียนออกมา จึงเอามือข้างนั้นไปถูกับใบตะไคร้ ดมดูก็ยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ จึงเอาไปขยำกับใบแมงลักแล้วดมอีก รู้สึกมีกลิ่นเหมือนกับม่ำหรือส้มฟักเนื้อของภาคอีสาน เมื่อไอ้หนุ่มได้กลิ่นเช่นนี้ เกิดนึกอยากจะกินข้าวขึ้นมาทันทีจนน้ำลายไหลออกมา จึงลงไปล้างมือที่ท่าน้ำแล้วลองดมดูอีก ก็ปรากฏมีกลิ่นเหม็นตึ ๆ อยู่นั้นเอง ตั้งแต่นั้นมาไอ้หนุ่มคนนั้นและคนอื่น ๆ ในละแวกบ้านก็หายสงสัยว่าหญิงสาวคนนี้นของลับหอมจริงสมกับคำเล่าลือหรือไม่

นิทาน เรื่องไอ้เชียงเด

มีหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นลูกสาวของชาวสวนแตง พ่อแม่ ปลูกแตงขายเป็นอาชีพ หญิงสาวคนนี้มีคู่รักเป็น "ไอ้เซียง" ซึ่งเป็นหนุ่มอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน คำว่า "เซียง" เป็นคำเรียกนำหน้าชื่อของชายที่เคยบวชเป็นสามเณร เมื่อสึกออกมาได้รับ คำนำหน้าชื่อว่า "เซียง" ชื่อจริงของเซียงคนนี้ว่าอย่างไรอย่าได้สนใจเลยครับ ทั้งไอ้เซียงและหญิงสาวต่างรักกันมานานต่างอยากจะแต่งงานกันเหลือเกิน แต่ยังติดขัดที่ฝ่ายไอ้เซียงยังหาเงินสินสอดไม่พอจำนวนตามที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงสาวเรียกร้อง ทั้งสองจึงได้แต่นาน ๆ ก็ลอบลักได้เสียกันอย่างลับ ๆครั้งหนึ่งเท่าที่โอกาสจะอำนวย

วันหนึ่ง หญิงสาวไปเที่ยวสวนแตงของพ่อแม่คนเดียว เผื่อว่าหากโชคดีอาจได้พบกับเซียงก็ได้ แต่วันนั้นไม่เห็นไอ้เซียงผ่านไปทางนั้นเลย เมื่อหญิงสาวเดินลัดเลาะชมสวนแตง สักครู่ใหญ่ก็รู้สึกเหนื่อยทั้งแดดร้อนจัดด้วย จึงไปพักอยู่ใต้ร่มแห่งหนึ่ง ซึ่งพ่อทำเป็นยกร้านขึ้นสำหรับให้เถาแตงทอดยอดไป เมื่อนั่งพักหายเหนื่อยดีแล้ว หญิงสาวมองไปมองมาก็เห็นแตงลูกหนึ่งมีขนาดและรูปร่างลักษณะคล้ายของลับไอ้เซียง หญิงสาวนึกถึงเค้าหน้าของไอ้เซียง และจิตก็รำลึกถึงบทพิศวาสของไอ้เซียงซึ่งเคยร่วมรักกันมาแต่ครั้งก่อน ก็นึกกระสันขึ้นมาจึงนึกขึ้นได้ว่าหากเอาแตงลูกนั้นลองมาแหย่ของลับของตัวเอง ลองดูคงจะดี และคงจะพอแก้ขัดไปได้กระมัง เมื่อหญิงสาวนึกเช่นนั้นก็มองไปมองมาเห็นปลอดคน จึงเอื้อมมือไปปลิดแตงลูกที่ตนวาดภาพว่าเหมือนของลับไอ้เซียง พร้อมกับรื้อผ้าซิ่นขึ้น บรรจงเอาแตงค่อย ๆ แหย่เข้าไปในรูของลับของตนแล้วทำการชักเข้าชักออก เมื่อทำเช่นนั้นหลายครั้งเข้าหญิงสาวรู้สึกเสียวกระสัน หนัก ๆ เข้าปากก็ครางค่อย ๆ พร้อมกับกล่าวออกมาเป็นเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ และเป็นจังหวะว่า "ไอ้เซียงเด ไอ้เซียงเด้ๆๆ" ซึ่งมีความหมายว่า เหมือนของไอ้เซียงจริงหนอ ทำอยู่เช่นนี้สักพักหนึ่ง พอดีข้างฝ่ายพ่อของหญิงสาวตกบ่ายหน่อยหนึ่งก็ไปสวน เพื่อไปเก็บแตงมาให้เมียแกไปขายตลาดตอนเย็นเหมือนเช่นเคยทำมาทุกวัน แกเดินลัดเลาะไปตามแปลง ปลูกแตงอย่างช้า ๆ ก็พอดีได้ยินเสียงลูกสาวร้อง ไอ้เซียงเดๆๆ ค่อย ๆ อยู่ แกนึกสงสัยว่าใครมาร้องเสียงสูง ๆ ต่ำๆ อยู่สวนของแกนี้หนอ แกจึงค่อยย่องไปที่เสียงดังออกมานั้น รู้สึกแปลกใจและตกใจที่เห็นลูกสาวเอาแตงแยงรูของลับของตนเล่นเช่นนี้ จึงรีบเข้าไปร้องจ๊ะเอ๋กับลูกสาว และถามว่าทำอะไร ลูกสาวตกใจทั้งละอายไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงถอดแตงออกจากรูของลับทันที เสียงดัง "บ๊อก" พร้อมกับยื่นแตงมาใส่ใกล้ปากพ่อ และพูดว่า "เอ้า! กินซะอีพ่อ"

นิทาน เรื่องฝากเยี่ยว

มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน เป็นเวลาประมาณ 4-5 ปี ครอบครัวนี้นอกจาก สองผัวเมียนี้แล้วก็มีแม่ยายและน้องเมียอีกคนหนึ่ง ส่วนพ่อตา ได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว น้องเมียของชายหนุ่มคนนี้นับว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้เป็นพี่เขยรู้สึกนึกรัก และชอบพอน้องเมียของตนมาก นึกในใจอยู่เสมอว่าทำอย่างไรจึงจะได้ลิ้มรสสวาทกับน้องเมียคนนี้สักครั้ง หากได้ลองลิ้มรสดังใจปรารถนาแล้ว ตนคงจะมีความสุขอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มนึกถึงวิธีการที่จะให้ได้น้องเมียมาเป็นของตน แม้สักครั้งสองครั้งก็ยังดี น้องเมียเขามีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง คือไม่เดียงสาต่อทางประเวณีเลย เพราะอายุเพิ่งได้ 14-15 ปีเท่านั้น

พอดีบ้านที่เขาอาศัยอยู่กับแม่ยายเป็นบ้านที่สร้างมานาน ตัวบ้านทำด้วยเสาไม้แก่น พื้นฟากฝาฟาก ค่อนข้างทรุดโทรม โดยเฉพาะชานทำด้วยไม้ไผ่ ซึ่งผุพังมากควรจะได้ทำชานนี้ใหม่ เพื่อให้สะดวกแก่การอยู่อาศัยและปลอดภัย ดังนั้นชายหนุ่มจึงรื้อชานเก่าออกแล้วเข้าป่าไปตัดไม้ไผ่มาทำชานใหม่ให้แน่นหนาถาวรยิ่งขึ้น




ในระหว่างนั้นเป็นฤดูทำนา ชายหนุ่มออกไปคราดนาอยู่คนเดียว และที่ทุ่งนาของเขามีกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ทำด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยหญ้า มีฝารอบขอบชิดอยู่หลังหนึ่ง ตามธรรมเนียม ชาวบ้านชนบทนั้น ในฤดูทำนาเมื่อออกไปทำไร่ไถนา เมื่อตกสายเมียจะนำข้าวปลาอาหารไปส่งผัวที่นา และเมียของเขาก็นำข้าวปลาอาหารไปส่งเขาเป็นประจำหลายวันมาแล้ว

อยู่มาวันหนึ่ง เผอิญเมียเขาไม่ค่อยสบาย จึงใช้ให้น้องสาวไปส่งข้าวและอาหารแทน ชายหนุ่มเมื่อเห็นน้องเมียมา ส่งข้าวและอาหารตนเช่นนั้น ก็กระหยิ่มในใจ จึงวางแผนที่จะให้ได้ร่วมรสรักกับน้องเมียของตนขึ้นมาทันที ดังนั้นขณะที่ไถนาอยู่จึงเรียกน้องเมียไปหาและบอกว่า "บัดนี้เราได้ชานใหม่แล้วพี่อยากขอร้องสักอย่างหนึ่ง คือหากน้องปวดเยี่ยวแล้วอย่าไปเยี่ยวใส่ที่อื่น ขอให้คืนไปเยี่ยวใส่ชานใหม่บ้านเรา เพราะชานนอกจากใช้ทำอย่างอื่นแล้ว ยังมีไว้สำหรับเยี่ยวใส่ด้วย ชานใหม่นี้พี่ทำด้วยความลำบากและสวยงามดี เมื่อน้องปวดเยี่ยวขอให้เยี่ยวใส่ชานให้พี่ด้วย พี่จะดีใจและขอบใจเธอมาก"

น้องเมียหลงกลและรับคำ พอหญิงสาวผู้เป็นน้องเมียอยู่ที่ทุ่งนาสักพักใหญ่ เกิดปวดเยี่ยวขึ้นมาจริง ๆ จึงบอกพี่เขยว่าปวดเยี่ยวแล้วจะกลับไปบ้านเพื่อเยี่ยวใส่ชานใหม่ก่อน ว่าแล้วก็จะเดินออกไป ฝ่ายพี่เขยเจ้าเล่ห์ก็ร้องบอกว่า "เดี๋ยว ๆ หยุดก่อน หากน้องจะไปเยี่ยวใส่ชานใหม่เช่นนั้น พี่ก็ปวดเยี่ยวเหมือนกัน ขอให้พี่ฝากเยี่ยวด้วย" น้องเมียพาซื่อ ไม่เข้าใจพี่เขยจะฝากเยี่ยวอย่างไร พี่เขยจึงบอกว่า ขอให้กลับไปที่กระต๊อบประเดี๋ยว พอไปถึงกระต๊อบก็ให้น้องเมียนอนลง แล้วทำการฝากเยี่ยวน้องเมียจนสำเร็จเรียบร้อย



เมื่อพี่เขยฝากเยี่ยวเสร็จแล้ว หญิงสาวก็เดินทางกลับบ้านและไปเยี่ยวใส่ชานใหม่จริง ๆ เมื่อเยี่ยวเสร็จแล้วจึงไปเล่าให้แม่ฟังว่า "แม่ฉันไปนาปวดเยี่ยว พี่เขย (ภาษาอีสานว่าพี่อ้าย) ให้มาเยี่ยวใส่ชาน และพี่เขยก็ฝากเยี่ยวมาด้วย" แล้วเล่าถึงวิธีที่พี่เขยฝากเยี่ยวให้แม่ฟัง แม่เลยด่าเอาว่า "อีห่าเอย ไปให้เขาสังวาสมึงทำไม โง่แท้ๆ อีนี้" ลูกสาวไม่พูดโต้ ตอบว่าอย่างไร จึงกลับไปที่ทุ่งนาอีกไปต่อว่าพี่เขยว่าเยี่ยวใส่รูของลับเขาแล้วมาเอาออกให้เขาซิ พี่เขยบอกว่าไม่ยากดอกพี่จะเอาเยี่ยวออกให้ พูดแล้วพาน้องเมียเข้าไปในกระต๊อบอีก จัดการทำพิธีเอาเยี่ยวออกให้น้องเมียทันที เสร็จแล้วบอกน้องเมียว่า เอาเยี่ยวออกให้เรียบร้อยแล้วว่าอย่างนั้น พอตกเย็น กลับมาถึงบ้านหญิงสาวเล่าให้แม่ฟังอีกว่า ที่พี่เขย (พี่อ้าย) ฝากเยี่ยวนั้น ได้ให้พี่เขยเอาเยี่ยวออกให้เรียบร้อยแล้ว และเล่าวิธีการที่พี่เขยอาเยี่ยวออกให้แม่ฟัง แม่จึงดุด่าอีกว่า "อีเวรเอย อยู่ดี ๆ ไปให้เขาทำอะไรอีกจนได้"

นิทาน เรื่องแก้บน

มีหนุ่มสาวสองคน รักใคร่กันมานานและรักกันมากดังจะกลืนกินก็ว่าได้ เมื่อรักกันมากเท่าใดก็ยิ่งเกรงว่าจะมิได้แต่งงานกันสมความปรารถนา วันหนึ่งจึงได้ปรึกษาตกลงกันไปบนบานต่อพระธาตุเจดีย์ที่วัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดไปขอบนบานอะไรก็มักได้สมดังที่บนบานไว้ทุกประการ พระธาตุนี้มีข้อห้ามที่สำคัญคือใครจะไปทำอะไรสกปรกใส่บริเวณพระธาตุ เช่น ขี้ เยี่ยว ตด เป็นต้น ใส่ไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าใครขืนไปทำสกปรกใส่ก็มักจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นอกจากหาวิธีแก้เคล็ดหรือแก้บนอย่างใดอย่างหนึ่ง




เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองไปถึงบริเวณที่พระธาตุประดิษฐานอยู่ พอดีไปไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด ณ บริเวณนั้น นอกจากหนุ่มสาวสองคนเท่านั้น เมื่อหนุ่มสาววางดอกไม้และธูปเทียนลงที่ฐานพระธาตุแล้วก็พากันก้มกราบอย่างนอบน้อม กราบลงครั้งที่ 1 ที่ 2 ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอกราบครั้งที่ 3 เผอิญหญิงสาวตดออกมาดัง "ป๊อด" เมื่อเป็นเช่นนั้นต่างก็ตกใจ จึงปรึกษากันว่าควรจะทำอย่างไรดี

ในที่สุดฝ่ายชายเสนอว่า ควรไปทำพิธีแก้บน คือ แก้ผ้าที่ป่าหลังพระธาตุจึงจะหายจากเคราะห์ร้ายทั้งปวง แล้วพากันเข้าไปในป่าตามที่ตกลงกัน ไม่ทราบว่าไปแก้วิธีใด ต่างก็เพลียกันทั้งสองคน

พอทำพิธีแก้บนเสร็จแล้ว ก็พากันตั้งสัตยาธิษฐานใหม่ และทำการกราบไหว้ดังเช่นคราวก่อน ถึงคราวนี้ฝ่ายหญิงเกิดตดอีกเป็นครั้งที่สอง เสียงดัง "ปู๊ด" ซึ่งดังกว่าคราวก่อนมาก ทั้งสองปรึกษากันอีกว่าจะทำอย่างไรดี ฝ่ายหญิงก็เสนอว่าไหน ๆ เป็นเช่นนี้ก็ควรจะไปทำพิธี "แก้" ดังเช่นคราวก่อนอีก เมื่อตกลงกันแล้วก็พากันหายเข้าไปในป่าหลังพระธาตุอีกพักใหญ่ จึงกลับจากป่าด้วยความอ่อนเพลียกว่าคราวก่อน

หนุ่มสาวทั้งสองก็มาทำพิธีบนบานและกราบไหว้พระธาตุอีกเป็นครั้งที่สาม มาคราวนี้แม้จะระมัดระวังเพียงใด ฝ่ายหญิงเกิดตดอีกจนได้ ลมออกจากรูก้นดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่า 2 ครั้งก่อน คือดัง "ป๊าด" ต่างตกใจตาม ๆ กัน ที่เป็นเช่นนี้ฝ่ายชายก็ตำหนิฝ่ายหญิงว่าไม่ควรเผลอตัวปล่อยลมออกมาเช่นนั้นเลย ควรจะระมัดระวัง ฝ่ายหญิงพูดขอโทษและปรึกษาว่า ควรจะทำอย่างไรดี แต่ก็นึกไม่ออก หญิงสาวจึงชวนชายหนุ่มไปทำพิธีแก้บนในป่าข้างหลังพระธาตุอีกเป็นครั้งที่สาม ฝ่ายชายรู้สึกอ่อนเพลียเป็นกำลัง เพราะทำพิธีแก้บนสองครั้งก็แทบหน้ามืดตาลายอยู่แล้ว จึงยกธงขาวยอมแพ้ พร้อมกับพูดว่า "น้องเอ๋ย พี่จะเอาแรงที่ไหนไปแก้บนหวาดไหว ถ้าขืนให้พี่แก้บนกับน้องอีก พี่คงจะตายเสียก่อนได้แต่งงานกับน้องละ"




เมื่อชายหนุ่มพูดเช่นนั้น การแก้บนครั้งที่สามจึงต้องงด ทั้งสองกล่าวขอขมาลาโทษพระธาตุแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านด้วยตัวที่เบากว่าเมื่อขาไปหลายเท่าทีเดียว

นิทาน เรื่องดาวเสด็จ

มีชายหนุ่มสามคน เป็นเพื่อนกันมานาน ต่างรักใคร่ชอบพอกันมาก เวลาไปไหนมักจะไปด้วยกันเสมอ และใครชอบกับหญิงสาวคนใดก็จะมาเล่าสู่กันฟังโดยไม่มีการปิดบัง ในจำนวนคนทั้งสามนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งรักใคร่กับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงกับหมู่บ้านของตน หนุ่มสาวทั้งสอง รักใคร่กันเป็นอย่างยิ่ง และตกลงยินดีที่จะร่วมหัวจมท้ายกันอย่างหมั่นเหมาะ

วันหนึ่งไอ้หนุ่มปรึกษากับหญิงสาวว่า ทำอย่างไรจะได้ร่วมรักกันสักครั้ง ให้สมกับที่รักกันมานาน เพราะถ้าจะลอบลักไปหากันที่ใดที่หนึ่งก็ยังไม่สบโอกาส ดังนั้นฝ่ายชายจึงพูดขอร้องหญิงสาวว่าในวันพรุ่งนี้ตนจะมาหาหญิงสาวเวลาประมาณ สองทุ่มและนัดว่าจะมาหาที่ใต้ถุน ขอให้หญิงสาวเปิดของลับของตนไว้ร่องพื้นเรือนด้วย เพราะพื้นเรือนของหญิงสาวปูด้วยฟาก จึงมีร่องอยู่หลายแห่ง โดยตนจะเอาของลับแหย่ตามร่องขึ้นไปตรงกับของลับฝ่ายหญิงพอดี หญิงสาวก็รับปากจะทำตามที่ตกลงกันไว้




พอตกเวลากลางคืนวันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อแม่หญิงสาวเข้านอนแล้ว ตนเองก็นั่งอยู่บนพื้นเรือน โดยจุดไต้สว่างอยู่ตามปกติ ฝ่ายชายหนุ่มเมื่อถึงเวลานัด ได้ชวนเพื่อนอีกสองคนไปด้วยกัน พอไปถึงบ้านของหญิงสาวก็บอกเพื่อนว่า ขอให้เพื่อนทั้งสองช่วยกันหามตนขึ้น ให้ร่างของตนจดกับพื้นเรือนพอดี แล้ว ตนจะเอาของลับแหย่เข้าหว่างขาของหญิงสาว และนัดว่าถ้าตนดิ้นแล้วแสดงว่าของลับตนเข้าตรงที่สำคัญของหญิงสาวพอดี ขอให้ช่วยกันดันตะโพกและบั้นเอวขึ้นข้างบนอย่างเต็มที่ด้วย




เมื่อนัดแนะกับเพื่อนที่เข้าใจกันแล้วก็พากันย่องเข้าไปที่ใต้ถุนบ้าน ส่องดูก็มองเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ตรงร่องพอดี ไอ้หนุ่ม จึงให้เพื่อนหามตนขึ้นไปตรงร่องฟาก ฝ่ายหญิงสาวได้ยินเสียงอึกอักอึกอักอยู่ข้างล่าง เกิดรู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล้าที่จะกระทำตามที่นัดกับไอ้หนุ่มไว้ได้ ครั้นจะกระซิบบอกคู่รักลงไปข้างล่างหรือก็เกรงพ่อแม่จะได้ยิน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี พอคิดอยู่ครู่หนึ่งก็มองไปที่ไต้ที่จุดอยู่จึงเห็นว่าควรเอาไต้นี้แหละเป็นเครื่องบอกให้ชายหนุ่มทราบ

เมื่อคิดแล้วดังนั้น ก็เอามือหนึ่งจับไต้มาตรงร่อง ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับไม้เขี่ยเยื่อของไต้ที่ติดไฟให้ลงไปที่โคนของลับชายหนุ่ม พอดีชายหนุ่มถูกไฟจุดเช่นนั้นก็รู้สึกร้อนและเจ็บมาก ก็ดิ้นจนสุดแรงเกิด ฝ่ายเพื่อนอีกสองคนเห็นไอ้หนุ่มดิ้นเข้าใจว่าของลับเพื่อนเข้ารูของลับหญิงสาวตามที่บอกกันไว้ จึงพากันดันตะโพกและบั้นเอวเป็นการใหญ่




ชายหนุ่มเจ็บปวดมากทนไม่ไหว จะร้องหรือก็เกรงว่าพ่อแม่ของหญิงสาวจะตื่นขึ้นมาจับผิดพวกตนได้ จึงกระซิบบอกให้เพื่อนรีบหามตนหนี เพื่อนทั้งสองก็หามชายหนุ่มออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีไฟของไต้ติดหว่างขาและเสื้อผ้าบางส่วนลุกโพลงไปด้วย ฝ่ายแม่ของหญิงสาวกำลังเคลิ้มหลับ ตื่นขึ้นเห็นแสงไฟลุกสว่างไปเช่นนั้น เข้าใจว่าดาวเสด็จหรือดาวตก จึงลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า "โอ้ สาธุ ดาวเสด็จ"




นิทาน เรื่องหอยเข้าท้อง

ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งหลายปี จนมีลูกด้วยกัน 2 คน ชายหนุ่มคนนี้มีน้องเมียซึ่งเป็นสาวสวย เจ้าหนุ่มเฝ้ามองน้องเมียมานาน และคิดว่าทำอย่างไรหนอจะได้ร่วมรักกับน้องเมียของตนสักครั้ง

อยู่มาวันหนึ่ง เป็นฤดูฝน เจ้าหนุ่มออกไปไถและคราดนา เมื่อตกสายน้องเมียเอาข้าวและอาหารไปส่งที่นาซึ่งมีกระท่อมอาศัยยู่ด้วย เจ้าหนุ่มจึงบอกน้องเมียให้ช่วยดำนาดังกล่าว เมื่อหญิงสาวดำนาบิ้งนั้นเสร็จรู้สึกเหนื่อย จึงเข้าไปนอนพักผ่อนในกระท่อมนาและม่อยหลับไป




เจ้าหนุ่มเมื่อเห็นน้องเมียนอนหลับเช่นนั้น ก็นึกอุบายที่จะได้ร่วมรักกับน้องเมียได้ จึงรีบไปเก็บหอยตามท้องนา เมื่อได้มากพอสมควรแล้ว จึงเอามาวางลงภายในหว่างขาของน้องเมีย และวางหอยเรียงออกมาเป็นแถวจนถึงหัวบันไดและตีนบันไดเลยไปจนถึงทุ่งนา เป็นทำนองว่า หอยพากันเดินทางเข้าของลับน้องเมีย

เมื่อเจ้าหนุ่มวางหอยเสร็จ ก็ทำทีไปทำการซ่อมทำนา เผอิญแม่ยายมานาและได้มาที่กระท่อมด้วย เมื่อมาเห็นหอยเรียงแถวเจ้าไปถึงผ้าซิ่นลูกสาวเช่นนั้นก็ตกใจร้องโวยวายและปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น ฝ่ายลูกเขยได้ยินก็ทำทีตะลีตะลานมาเพื่อสอบถามดู พอมาถึงกระท่อมก็พูดว่าแย่แล้วคราวนี้หอยมันคงเข้าไปในท้องน้องเมียเขาหลายตัว และหอยหากเข้าไปในท้องก็อาจเกิดอันตรายขึ้นภายหลัง ฝ่ายแม่ยายเมื่อได้ยินดังนั้นนึกว่าเป็นเรื่องจริงก็ตกใจ ลูกเขยก็ทำท่าอายกะมิดกะเมี้ยน แล้วบอกว่า ต้องให้ผู้ชายที่ของลับคดซ้ายมาทำการเกี่ยวจึงจะเอาหอยออกมาได้




พอแม่ยายกับลูกสาวคนเล็กกลับมาถึงบ้าน ก็นำความนี้มาปรึกษากับลูกสาวคนโตผู้เป็นเมียของเจ้าหนุ่มดู และตกลงให้พากันสืบหาคนของลับคดซ้าย เพื่อมาช่วยทำการเอาหอยออกจากท้องให้ลูกสาวคนเล็กในวันต่อไป

พอเจ้าหนุ่มตัวการกลับมาถึงบ้านตอนเย็น เมียก็เล่าให้ฟังถึงการหาคนของลับคดซ้ายมาช่วยเหลือดังกล่าว ดังนั้นในวันต่อมาขณะไปดายหญ้าสวนกับเมีย เจ้าหนุ่มก็เอาเส้นด้ายมัดของลับของตนให้คดไปทางซ้าย แล้วนุ่งผ้าสั้น ๆ นั่งดายหญ้าให้เมียเห็นของลับตน เมื่อเมียเห็นเช่นนั้นสำคัญว่าผัวตนของลับ คดซ้ายจริง ตอนเย็นวันนั้นจึงนำความไปบอกแม่ของตนให้ทราบ




วันรุ่งขึ้นแม่ยายผู้เชื่อว่าหอยเข้าท้องลูกสาว จึงบอกให้ลูกสาวคนเล็กและลูกเขยไปที่กระท่อมนา เพื่อไปจัดการเอาหอยออกจากท้อง ส่วนแม่ยายก็ตามไปด้วย ลูกเขยแสนกลรีบไปก่อนพยายามเก็บหอยห่อผ้านุ่งซ่อนไว้กับตัวอย่างดีมิดชิด พอได้เวลาก็ให้น้องเมียขึ้นไปนอนบนกระท่อม และบอกให้แม่ยายคอยเก็บหอยที่จะออกจากท้องลูกสาวอยู่ข้างล่าง เจ้าหนุ่มก็จัดการกับน้องเมียดังที่ตั้งใจไว้ พอขยับตัวทีใดก็หย่อนหอยลงที่ช่องพื้นของกระท่อมให้ตกลงไปข้างล่างทีละตัว แม่ยายอยู่ข้างล่างเมื่อเห็นหอยตกลงมา ก็เอาไม้ทุบหอยด้วยความแค้นที่มันบังอาจเข้าท้องลูกของตน จนหอยบี้แบนไปทุกตัว ทุบทีไรปากก็บ่นไปพร้อมว่า "สมน้ำหน้าที่เสือกเข้าท้องลูกกู" ไอ้หนุ่มสำเร็จกิจแล้วหอยที่เก็บมาก็หมดพอดี ก็บอกแม่ยายว่าหอยที่เข้าท้องน้องเมียนั้นหมดทุกตัวแล้ว แม่ยายรู้สึกสบายใจที่ได้เอาหอยออกจากท้องลูกสาว ฝ่ายเจ้าหนุ่มก็สบายใจที่ได้จัดการกับน้องเมียตามปรารถนา



นิทาน เรื่อง เฮียะโฮยห่อน

มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นคนหน้าตาอาภัพ คือ จมูกแฟบ มาตั้งแต่เกิด แต่รูปร่างสะโอดสะองดี เนื่องจากจมูกแฟบจึงทำให้เขาพูดไม่ค่อยชัด ประกอบกับสมองก็ออกจะทึบ ซื่อ ๆ เซ่อ ๆ สักหน่อย คือปัญญาค่อนข้างอ่อนนั้นเอง เจ้าหนุ่มคนนี้ได้หลงรักกับหญิงสาวคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน ได้ไปมาหาสู่พูดจากันเสมอ แรก ๆ หญิงสาวก็ไม่ค่อยชอบนัก แต่นานๆ เข้าก็อดสงสารไม่ได้ จึงตกลงที่จะแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แต่ครั้นฝ่ายชายจะจัดเฒ่าแก่ไปสู่ขอหรือก็เกรงว่าพ่อแม่ทางฝ่ายหญิงจะไม่ตกลงด้วย ในที่สุดทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวจึงตกลงกันว่า ฝ่ายชายควรจะลอบลักขึ้นไปหาหญิงสาวที่บนบ้านในตอนกลางคืนให้ได้เสียกันก่อนเมื่อพ่อแม่จับได้ก็คงจะตกลงรับเป็นเขย เพราะไหน ๆ ทั้งคู่ก็ได้สมสู่หลับนอนด้วยกัน และฝ่ายหญิงเสียเปรียบอยู่แล้ว และตกลงกันว่า ชายหนุ่มจะปีนขึ้นทางหน้าต่างโดยหญิงสาวจะหย่อนเชือกลงมาให้ผู้ชายเกาะเชือกขึ้นไปบนบ้าน




เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวตกลงกันเช่นนั้นแล้ว คืนวันหนึ่งชายหนุ่มก็ไปหาหญิงสาวที่บ้านตามที่นัดไว้ คะเนว่าพ่อแม่ของฝ่ายหญิงนอนหลับแล้ว หญิงสาวจึงหย่อนเชือกลงมาทางหน้าต่าง ชายหนุ่มก็จับเชือกด้วยมือทั้งสองกำแน่นเป็นอย่างดี พร้อมกับเอาเท้ายันเสาเรือนขึ้นไป

แต่เนื่องจากบ้านของหญิงสาวเป็นบ้านสูงประกอบกับ เสากิ่วไม่ค่อยแน่นหนานัก เมื่อเสาเรือนถูกชายหนุ่มยัน เรือนก็สั่นสะเทือน ทำให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้น พ่อจึงร้องถามลูกสาวว่า "เรือนทำไมจึงไหวอย่างนี้" ลูกสาวก็บอกว่า "ควายสีเสาเรือนกระมั่งพ่อ" เพราะใต้ถุนบ้านผูกควายไว้ หลายตัว ฝ่ายชายหนุ่มได้ยินพ่อหญิงสาวถามก็ตอบพาซื่อว่า "มิใช่ควายดอกคน" หญิงสาวรีบกระซิบห้ามมิให้ชายหนุ่มพูด

พอหญิงสาวสาวเชือกดึงชายหนุ่มขึ้นไปจนเกือบจะถึงหน้าต่างอยู่แล้ว และรู้สึกปวดแขนเป็นกำลัง จึงรีบกระซิบบอกชายหนุ่มให้รีบปืนหน้าต่างขึ้นมา ฝ่ายชายหนุ่มจอมเซ่อเห็นจวนจะขึ้นหน้าต่างได้แล้ว ก็ดีใจว่า ไหน ๆ ตนก็จะได้ร่วมรักกับหญิงสาวอย่างแน่นอน นึกเช่นนั้นอวัยวะเพศก็แข็งตัวขึ้นมา เตรียมท่าจะทำสงครามอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากอวัยวะเพศของชายหนุ่มปลายหุ้มด้วยหนัง คือปลายไม่ทะเล้นออกมาอย่างคนทั่วไป จึงพยายามเอามืออีกข้างหนึ่งทำการรั้งหนังปลายของลับตนให้ร่นขึ้นไปทางโคน ซึ่งคนทางภาคอีสานเรียกว่า "เสียกควย" ของตนอยู่นั้นแหละ โดยบอกหญิงสาวว่า "เฮียะโฮยห่อน" คือ "เสียกควยก่อน" นั้นเอง แม้หญิงสาวจะเร่งเตือนกี่ครั้งก็ตาม ชายหนุ่มก็ตอบคำดังกล่าวเช่นเดิม ในที่สุดสาวทนปวดมือและแขนไม่ไหวก็วางเชือก เป็นผลทำให้ชายหนุ่มหล่นตุ๊บลงไปยังพื้นดิน พ่อของหญิงสาวได้ยินก็ตะโกนถามลูกสาวว่า "อีน้อย อะไรตก" หญิงสาวโกหกว่า "กระทอมั่งพ่อ" ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นร้องขึ้นไปด้วยความโมโห ว่า "กระทอกับผีอะไร กระดูกข้างกูหักตั้งหามฮีกหี่ฮีก" (กระทอกับปีอะไรกระดูกข้างกูหักตั้งสามซีกสี่ซีก).

นิทาน เรื่อง ลูกสะใภ้ดัง

มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังแตกเนื้อสาวใหม่ ๆ รูปร่างสวยงามพอสมควร มีความรักใคร่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่บ้านไม่ห่างกันนัก ต่อมาชายหนุ่มคู่รักได้จัดเฒ่าแก่มาสู่ขอ ทาง พ่อแม่และเฒ่าแก่ฝ่ายหญิงก็พอใจไม่มีการขัดข้องแต่ประการใด เมื่อทำการสู่ขอเป็นที่ตกลงกันแล้วก็มีการนัดวันที่จะแต่งงานกันต่อไป




ต่อมาเมื่อถึงวันก่อนกำหนดนัดแต่งงานก็มีการเตรียมจัดสิ่งของเครื่องใช้และอาหารการกินอย่างบริบูรณ์ เนื่องจากหญิงสาวคนนั้นเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ไม่เคยผ่านชายใดมาก่อนเลย ประกอบกับเป็นหญิงสาววัยรุ่นจึงไม่เดียงสาในทางประเวณี เมื่อถึงวันใกล้กำหนดแต่งงานก็มีความประหวั่นพรั่นใจเกรงไปว่า เมื่อสมสู่กับชายหนุ่มไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร และมีความ กลัวเจ็บอันอาจเกิดขึ้นจากสมสู่นั้นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้พอถึงเย็นก่อนวันทำพิธีแต่งงานจะมาถึง ในขณะที่หญิงสาวคนนั้นทำอาหารอยู่ในครัวคนเดียว จิตใจก็นึกถึงเรื่องนี้ว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้รสการร่วมประเวณี พอดีขณะที่นึกถึงเรื่องนี้หญิงสาวคนนี้ตำน้ำพริกด้วยก็เลยคิดว่าของลับคู่รักของตนคงจะโตเท่ากับ ขนาดสากที่ตำน้ำพริกนี้กระมัง จึงมาคิดว่าหากเราจะลองเอาสากนี้แหย่เข้าไปในของลับของเราดู ก็คงจะรู้เรื่องเป็นอย่างดีพอสมควร และเป็นการทดลองไปด้วย

เมื่อหญิงสาวคิดดังนั้นแล้ว พอตำน้ำพริกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นเป็นการปลอดคน เพราะเผอิญพ่อแม่ไปธุระที่อื่น หญิงสาวจึงเอาสากตำน้ำพริกมาล้างให้สะอาด แล้วถือเข้าไปในห้องนอนของตนปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย แล้วผจงเอาสากแหย่เข้าไปในรูของลับของตนให้ลึกพอสมควร แม้รู้สึกเจ็บบ้างก็พอทนได้ แรก ๆ ก็สนุก แต่อยู่สักพักหนึ่งเนื่องจากหญิงสาวมัวคิดเพลินจึงลืมล้างสากให้สะอาดจึงยังคงมีพริกติดอยู่บ้าง หญิงสาวมีอาการปวดแสบปวดร้อนในช่องคลอดของตนเป็นกำลังแทบจะทนไม่ไหว ต้องนอนควญครางอยู่คนเดียว

พอพลบค่ำพ่อแม่กลับจากไปธุระมาถึงบ้าน ขณะหญิงสาวนอนควญครางอยู่นั้นก็เรียกแม่ให้เข้าไปหา และกระซิบเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้แม่ทราบเรื่องเช่นนั้นรู้สึกตกใจไม่ทราบจะทำอย่างไรจึงให้ลูกสาวเปิดผ้าซิ่นขึ้น แล้วหาพัดมาพัดของลับให้ลูกสาว และนำสูบรถจักรยานมาสูบลมใส่ด้วย ต้องพัดและสูบลมกันอยู่เป็นเวลานาน อาการปวดแสบปวดร้อนจึงค่อยบรรเทาลง แต่การพัดวีและสูบลมของแม่เช่นนั้นยังผลให้ลมเข้าไปในท้องลูกสาวเป็นอันมาก จนถึงกับท้องพองป่องออกมา และหญิงสาวต้องนอนพักอยู่ในห้องนั้นจนถึงวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันแต่งงาน




ในวันแต่งงานมีการจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ และอาหาร การกินอย่างเอิกเกริก รวมทั้งพาขวัญสำหรับทำพิธีบายศรีสู่ขวัญตามประเพณีด้วย พอถึงฤกษ์งามยามดีฝ่ายเจ้าบ่าวก็แห่ขันหมากและทำพิธีมอบพร้อมวางสินสอดตามประเพณี เสร็จแล้วก็ทำพิธียายศรีสู่ขวัญมีการบอกฝ่ายหญิงว่า "ท้าวมาแล้วขอให้เอานางแก้วออกมา" เมื่อแต่งตัวเสร็จหญิงสาวยังปวดแสบช่องคลอดประกอบกับอืดท้องด้วยจึงไม่ยอมออกไปต้องมีการฉุดดึงให้ลูกขึ้นและผลักดัน พอถึงใกล้พาขวัญหญิงสาวก็ก้มคลานเข้าไป เนื่องจากท้องตึงอย่างเต็มที่ พอหมอบจะลงคลานเท่านั้น ปรากฏว่าหญิงสาวตดออามาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงตดดังไปถึงบ้านของฝ่ายเจ้าบ่าว

ในวันแต่งงานนั้น เผอิญแม่ของเจ้าบ่าวป่วย ไม่สามารถไปร่วมพิธีแต่งงานของลูกชายได้ ฝ่ายแม่เจ้าบ่าวอยู่ที่บ้านของตนได้ยินเสียงตดดังสนั่นหวั่นไหวของลูกสะใภ้เช่นนั้น เข้าใจว่าท้องฟ้าคำรามคงจะเป็นนิมิตอันดีแก่ลูกชายและลูกสะใภ้ของตน จึงยกมือขึ้นใส่หัวพร้อมกับร้องว่า "สาธุ"
ปากก็พูดอวยพรให้ลูกชายและลูกสะใภ้ของตนว่า "ขอให้ลูกจงมีความสุขความเจริญ และมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนฟ้าร้องเมื่อตะกี้นี้เถิดลูกเอ๋ย"

นิทาน เรื่อง หลอนสาวไทยแขก



คำว่า "หลอน" หมายถึงไปลอบลัก "สาวไทยแขก" หมายถึง หญิงหมู่บ้านหนึ่งไปเยี่ยมอีกบ้านหนึ่ง และไปพักอยู่กับญาติพี่น้องในหมู่บ้านที่ไปเยี่ยมนั้น คำดังกล่าวเป็นภาษาถิ่นอีสาน

ในสมัยก่อนคนนิยมนำสิ่งของที่มีอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งไปแลกสิ่งของอีกอย่างหนึ่งในหมู่บ้านอื่นซึ่งตนไม่มี เช่น หมู่บ้าน นี้มีเกลือนำไปแลกข้าว มีสีเสียดนำไปแลกมะพร้าว เป็นต้น การนำสิ่งของไปแลกอีกสิ่งหนึ่งนี้เป็นความนิยมมาแต่โบราณ สมัยที่การค้าขายยังไม่เจริญและทางคมนาคมยังไม่สะดวก สมัยนั้นการนำสิ่งของไปแลกนี้มักไปเป็นหมู่ ๆ ละ 4-5 คน หรือมากกว่านั้น ปกติผู้นำสิ่งของไปแลกเป็นผู้หญิง และจะมีหญิงสูงอายุหนึ่งหรือสองคนเป็นผู้นำไป นอกนั้นมักเป็นหญิงสาว การนำสิ่งของไปแลกกันนิยมใช้หาบและโดยการเดินเท้าและมักนอนค้างคืนด้วย เพราะอาจเป็นด้วยหมู่บ้านอยู่ห่างไกลกัน ทางคมนาคมไม่สะดวกดังกล่าว และต้องใช้เวลานำสิ่งของไปแลกกันด้วย

ในระหว่างพักนั้นในตอนกลางคืนจะมีพวกหนุ่ม ๆ มาคุยกับ "สาวไทยแขก" ด้วย เรียกว่า "ไปเล่นสาวไทยแขก" บางรายคุยกันรักใคร่ชอบพอถึงกับได้แต่งงานกันก็มี

สำหรับเรื่องนี้มีผู้หญิงสูงอายุสองคนกับหญิงสาวสี่คนนำสิ่งของไปแลกกับสิ่งของที่ตนต้องการดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่เนื่องจากไปด้วยกันหลายคนจึงแยกกันพักบ้านญาติแห่งละ 3 คน โดยมีหญิงสาวพักอยู่ด้วยแห่งละ 2 คน ที่บ้านแห่งหนึ่งซึ่ง "สาวไทยแขก" พักนั้น ชายเจ้าของบ้านเป็นคนซนสักหน่อย จึงแอบไปชวนลูกเขยซึ่งอาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่งต่างหากให้มา "หลอนสาวไทยแขก" ที่มาพักบ้านของตน โดยให้สังเกตกำไลมือเป็นสำคัญ ในคืนนั้นพอพวกหนุ่ม ๆ ที่มาคุยสาวไทยแขก กลับไปแล้ว พอตกตอนดึกคะเนว่าพวกที่มาพักด้วยนอนแล้ว พ่อตากับลูกเขยจึงพากันมา ณ ที่บ้านหลังนั้น พ่อตาจึงให้ลูกเขย คลานเข้าไปในห้องนอนที่พวกหญิงสาวมาพักด้วยนอนหลับ
เผอิญหญิงสาวนอนอยู่ใกล้แม่ยาย พอหนุ่มลูกเขยคลานเข้าไปในห้องนอนก็ลูบคลำดูตามแขน พอคลำพบหญิงผู้ใส่กำไลแขน ก็จัดการร่วมหลับนอนด้วยตามที่ตั้งใจไว้จนสำเร็จความใคร่จึงค่อย ๆ คลานหนีออกมา




พอตกเช้าวันรุ่งขึ้น พ่อตาถามลูกว่า การหลอนสาวไทยแขกเป็นอย่างไรบ้าง ลูกเขยก็บอกว่าสำเร็จเรียบร้อย พ่อตาหัวเราะชอบใจในความเก่งกล้าสามารถของลูกเขยของตน แล้วก็คอยสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวที่มาขอนอนพักในบ้านด้วย แต่ดูแล้วไม่เห็นสาวคนใดมีกิริยาอาการที่ผิดปกติ ทำให้นึกสงสัย และยิ่งกว่านั้นเมียของตนสวมกำไลแขนอยู่ด้วย จึงถามเมียแกว่าได้กำไลมาจากไหน เมียแกบอกว่าหญิงสาวที่มาพักด้วยคนหนึ่งฝากไว้แต่เมื่อคืนนี้ เพราะสวมไว้เกรงว่ากำไลแขนจะหาย พ่อตาจึงคิดเอะใจจึงรีบไปถามลูกเขยว่าเมื่อคืนนี้ได้ร่วมหลับนอนกับหญิงคนใด ลูกเขยก็บอกว่าคนที่สวมกำไลข้อมือนั่นแหละ พ่อตาได้ยินดังนั้นตบอกผางพร้อมกับพูดว่า "ไอ้ห่าเอย มึงจัดการกับเมียกูเสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง" ลูกเขยพูดออกมาว่า "ถึงว่านะซิ คลำดูหน้าอกทำไมจึงเหี่ยวนักและข้างล่างทำไมจึงหลวมเหลือเกิน"




นิทาน เรื่อง ไอ้เชียงปล้ำ

มีหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองออกไปมาก เป็นหมู่บ้านที่ไม่สู้ใหญ่นัก แต่ชาวบ้านนิยมเลี้ยงควายกันมาก ในหมู่บ้านนั้นดูเหมือนจะมีควายแทบทุกครัวเรือน ทุก ๆ วันพวกเด็กหรือผู้ใหญ่ของแต่ละครัวเรือนจะต้องไปเลี้ยงควายเป็นปกติเสมอ เพราะถ้าปล่อยไปตามลำพังควายอาจไปเหยียบย่ำและกินพืชในสวน กินข้าวในนาชาวบ้านด้วยกันหรือถูกขโมยลัก

ในจำนวนคนที่ไปเลี้ยงควายนั้น มีเด็กสาวคนหนึ่งอายุพึ่ง 15-16ปี กำลังโตเป็นสาวรุ่น ๆ ยังไม่เคยมีผู้ชายคนใดล่วงเกินเลย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่เดียงสาในทางประเวณีนั้นเอง และในจำนวนคนที่ไปเลี้ยงควายด้วยกัน มีชายหนุ่มคนหนึ่ง อายุราว 17-18 ปี เคยบวชเป็นสามเณรที่วัดและสึกออกมาแล้ว คนที่เคยบวชเป็นสามเณรทางภาคอีสานเมื่อสึกออกมาจะถูกเรียกคำว่า "เซียง" นำหน้าชื่อ เช่น เซียงมี เซียงสี ฯลฯ เป็นต้น




วันหนึ่ง "ไอ้เซียง" เอาควายไปเลี้ยงในป่าละเมาะริมชายทุ่งแห่งหนึ่ง พอดีไปเจอกับหญิงรุ่นสาวคนนั้นเอาควายไปเลี้ยงในป่าละเมาะนั้นด้วย ไอ้เซียงเห็นหญิงสาววัยรุ่นสะสวยก็นึกรักขึ้นมาพอดีปลอดคนด้วยจึงออกอุบายบอกหญิงสาวว่า ควาย กำลังกินหญ้าเพลินอย่าไปดูมันเลย ปล่อยให้ควายกินหญ้าตามสบายเถอะ เรามาเล่นคลานเหมือนควายดีกว่า หญิงสาว พาซื่อและเห็นเป็นของสนุกก็ลงคลานเล่นด้วย ฝ่ายไอ้เซียงเห็นได้ทีก็คลานเข้าไปใกล้ ๆ หญิงสาวแล้วก็ชวนหญิงสาวปล้ำกันเล่น หญิงสาวก็ไม่ขัดข้องพอปล้ำกันไปปล้ำกันมาต่างฝ่ายต่างเกิดกำหนัดขึ้น
"ไอ้เซียง" ได้ทีเอาอวัยวะเพศของตนแหย่เข้าไปตรงระหว่าขาของหญิงสาว หญิงสาวไม่เคยถูกผู้ชายล่วงเกินเช่นนั้นก็ไม่ว่าอะไร คงปล่อยให้ "ไอ้เซียง" ทำกับตนตามสบาย และพลอยสนุกไปด้วย เมื่อสำเร็จกิจแล้วต่างก็เลิกเล่นเป็นควายกันและแยกกันไปเลี้ยงควายของตนต่อไป




พอตกตอนเย็นหญิงสาวไล่ควายกลับเข้าคอก เมื่อค่ำขณะอยู่กับแม่ตามลำพัง หญิงสาวนึกถึงรสสวาทของ "ไอ้เซียง" จึงเล่าเรื่องราวตอนกลางวันให้แม่ฟังว่า ไปเลี้ยงควายวันนี้สนุกกับไอ้เซียงมาก และบอกว่า ตอนกลางวันเล่นคลานควายกับไอ้เซียงแล้วไอ้เซียงเอาอะไรแหย่หว่างขาตน แหย่ไม่แหย่เปล่า ๆ ไอ้เซียงยังเยี่ยวใสด้วยรู้สึกว่าดีเหลือเกิน วันต่อไปจะชวนไอ้เซียงปล้ำอีก แม่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟดุด่าลูกสาวว่า "อีเวร อันนั้นแหละเอาเรียกว่าสังวาสกัน อยู่ดี ๆ มึงไปให้เขาทำมึงทำไม" และกำชับลูกว่าทีหลังมึงอย่าให้เขาทำเช่นนี้อีกเป็นอันขาด หญิงสาวก็รับคำ




วันต่อมา หญิงสาวไปเลี้ยงควายอีกและพบกับไอ้เซียงเช่นเคย จึงต่อว่าไอ้เซียงอึกว่า
"ไอ้เซียงนี้แย่มากเอาอะไรไม่รู้แหย่ระหว่างโคนขาแล้วไม่แหย่เปล่า ๆ ยังเยี่ยวใสด้วยข้าไม่ยอม
แกต้องเอาเยี่ยวออกมาจากหว่างขาให้ข้าด้วย"

ฝ่ายไอ้เซียงเห็นได้ทีทำเป็นตกใจและบอกหญิงสาวว่า "ไม่เป็นไรดอก เมื่อข้าเยี่ยวใส่แล้วจะเอาออกให้ก็ได้" พูดแล้วชวนหญิงสาวเข้าไปในป่า พอเห็นที่เหมาะจึงบอกให้หญิงสาวนอนลง แล้วก็เอาของลับของตนทำพิธีเอาเยี่ยวออกให้หญิงสาวจนเสร็จเรียบร้อย ตกตอนเย็นหญิงสาวกับไปบ้านก็เล่าเรื่องให้แม่ฟังว่า "แม่ ๆ ที่ไอ้เซียงเยี่ยวใส่หว่างขาของฉันนั้น ฉันให้ไอ้เซียงจัดการเอาออกให้เรียบร้อยแล้ว" แล้วบอกวิธีการเอาเยี่ยวออกให้แม่ฟัง แม่ได้แต่ตบอกพร้อมกับร้องว่า "อีเวรเอย แกนี่โง่จริง ๆ ดันทุรังไปให้เขาทำมึงอีกจนได้"




นิทาน เรื่อง หีฮาก




มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่ง รักใคร่กันมานาน ต่างมีความประสงค์อยากจะแต่งงานกันมาก แต่จนใจที่พ่อแม่ทั้ง สองฝ่ายยังไม่อยากให้มีเหย้ามีเรือน หนุ่มสาวจึงจำเป็นต้องรอเรื่อย ๆ มา

คืนวันหนึ่ง ชายหนุ่มมาหาหญิงสาวที่บ้านฝ่ายหญิงดังที่เคยปฏิบัติมา ธรรมเนียมชาวอีสานชายหนุ่มจะไปคุยกับหญิงสาวคู่รักของตนที่บ้านของฝ่ายหญิงจนดึกดื่นเที่ยงคืนก็ได้ โดยฝ่ายพ่อแม่ไม่มีการกีดกันแต่อย่างใด พอคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ประสาคนรักใคร่กันจนดึกสงัด เมื่อเห็นพ่อแม่ฝ่ายหญิงหลับสนิทแล้ว ชายหนุ่มขอเข้าไปนอนในห้องหญิงสาว เพื่อขอร่วมหลับนอนด้วย ครั้งแรกหญิงสาวก็พูดอิดเอื้อนไม่ใคร่อยากจะยอมตกลง แต่เมื่อฝ่ายชายพูดอ้อนวอนหนัก ๆ เข้า หญิงสาวก็ใจอ่อน ในที่สุดหญิงสาวก็ยินยอม




พอเข้าไปนอนครั้งแรกชายหนุ่มก็จัดการร่วมรักกับหญิงสาวจนสำเร็จความใคร่ครั้งหนึ่งแล้วเกิดย่ามใจ อยากจะจัดการ อีกสักครั้ง จึงนอนพักผ่อนไปสักครู่ใหญ่ ๆ ตื่นขึ้นก็จัดการกับหญิงสาวอีกครั้งหนึ่งจนสำเร็จความใคร่ครั้งที่สองแล้ว ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างอ่อนเพลียตาม ๆ กัน หญิงสาวม่อยหลับไปย่างไม่รู้สึกตัว




เมื่อจวนสว่างชายหนุ่มจัดการร่วมรักกับหญิงสาวอีกทั้ง ๆ ที่หญิงสาวกำลังหลับสนิท ขณะนั้นชายหนุ่มเกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างกระทันหันจะไปถ่ายที่ไหนก็ไม่ทัน เมื่อจวนตัวจำเป็นเช่นนั้น พอชายหนุ่มทำอะไรกับหญิงสาวเสร็จ อุจจาระก็ทะลัก ออกมากองอยู่บนของลับหญิงสาวพอดี โดยฝ่ายหญิงไม่รู้สึกตัวเลย ชายหนุ่มถ่ายแล้วก็รีบคลานหนีออกจากบ้านหญิงสาวไปทันที ฝ่ายหญิงสาวอ่อนเพลียก็หลับเพลินจนสาย




พอรุ่งเช้า แม่ของหญิงสาวลุกขึ้นแต่เช้ามืดมาจัดการนึ่งข้าวจนข้าวสุก เอาข้าวใส่กระติบเก็บไว้แล้ว แม่รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมหนอวันนี้อีน้อย (หมายถึงลูกสาว) จึงตื่นสายนัก ก็พอดีลูกชายคนเล็กตื่นและลุกขึ้นมา เมื่อลูกชายคนเล็กล้างหน้า ล้างตาเสร็จแล้ว แม่จึงบอกให้ลูกชายไปห้องนอน เมื่อน้องชายของหญิงสาวเปิดมุ้งเข้าไปกลิ่นอุจจาระเหม็นคลุ้งมาสู่จมูกทันที




ก็พอดีเหลือบไปที่หว่างขาพี่สาวเห็นก้อนอุจจาระวางอยู่บนของลับพี่สาวรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบวิ่งออกมาบอกแม่ด้วยอาการลุกลี้ลุกลนว่า "แม่ๆ หีอีทาฮาก" (คำว่า"อีทา" หมายถึงพี่สาว ส่วนคำว่า "ฮาก" หมายความว่า อาเจียนหรือราก) แม่เข้าใจ หมายความว่าอย่างไร จึงรีบชุกเดินเข้าไปดู ลูกสาวที่ห้องนอนก็เห็นก้อนอุจจาระอยู่บนของลับลูกสาว แม่ตกใจรีบปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น แล้วถามหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ลูกสาวลุกขึ้นไม่ทราบว่าจะตอบแม่ว่าอย่างไร ได้แต่นั่งนิ่งพลางนึกเดาเหตุการณ์ คงจะเป็นด้วยคู่รักของตนนั้นเองทำเหตุก่อนจะหนีไปเมื่อจวนสว่าง คงได้อุจจาระใส่ของลับตนไว้ ในขณะที่ตนนอนหลับอย่างสลบไสล เนื่องจากความอ่อนเพลียอันเกิดจากที่ตนร่วมรักกับคนรักหลายครั้ง เกินไปหน่อยนั้นเอง




แต่ถ้าจะบอกแม่ไปตามความจริงก็เกรงว่าแม่จะดุเอา จึงพูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า "ข้าฝันว่า ถ่ายแม่ แล้วมันก็ถ่ายออกมาจริง ๆ" แม่ได้ยินเช่นนั้นยังไม่สิ้นสงสัย เพราะธรรมดาเจ้าของถ่ายเองอุจจาระจะต้องออกไปตรงรูทวาร แต่นี่มีนอยู่ข้างบนคล้ายกับคนมาถ่ายหรือเอามาไว้ก็ซักถามลูกสาวอีกครั้ง ลูกสาวคงพูดยืนยันเช่นเดิม แม่จนใจไม่รู้จะทำอย่างไร ในที่สุดแกพูดออกมาด้วยความโมโหและสนเท่ห์ในใจว่า "ขี้ห่าอะไร กูเคยเห็น แต่ออกไปข้างหลังตรงรูตูดและข้างล่าง นี่ดันมาออกข้างหน้าและข้างบนเสียด้วย กูเกิดมาพึ่งเห็นขี้ ประหลาดครั้งเดียวเท่านี้แหละ"




นิทาน เรื่อง แทงรูเยี่ยว

มีเจ้าเมืองเมืองหนึ่งมีลูกสาวสวยอย่างหยดย้อยคนหนึ่งเจ้าเมืองคนนี้รักและหวงแหนลูกสาวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ค่อยอนุญาตให้ลูกไปเที่ยวที่ไหนตามลำพังเลย หากจะไปที่ไหนไกลสักหน่อยก็ต้องมีพี่เลี้ยงไปด้วยคราวละหลายคน แม้แต่อาบน้ำก็ให้อาบในบ้าน นาน ๆจึงจะอนุญาตให้ไปอาบและว่ายน้ำเล่นที่แม่น้ำสักครั้งหนึ่ง




เมื่อลูกสาวเจ้าเมืองคนที่กล่าวไปอาบน้ำหรือไปเที่ยวคราวไร พวกหนุ่มและไอ้หนุ่มต่างจ้องมองด้วยความตื่นเต้นและสนใจในความสวยงามของลูกสาวเจ้าเมืองเสมอ บางคนเมื่อเห็นถึงกับมองตาค้างและมักจะชะเง้อมองตามแทบตาไม่กระพริบทีเดียว ในจำนวนคนที่หลงมองและหลงรักลูกสาว เจ้าเมืองนี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีบ้านอยู่ริมทางที่ลูกสาวเจ้าเมืองเดินฝ่านไปอาบน้ำด้วย

อยู่มาวันหนึ่งลูกสาวเจ้าเมืองพร้อมสาวใช้ได้ไปอาบน้ำ ที่ท่าน้ำเจ้าหนุ่มผู้หลงรักลูกสาวเจ้าเมืองเมื่อเห็นขบวนหญิงสาวเดินผ่านหน้าบ้านไป ก็รีบแต่งตัวแล้วสาวเท้าเดินลัดเลาะป่าไปแอบมองดูอยู่ที่ใกล้ท่าน้ำ




ที่ท่าน้ำมีหาดทรายอยู่ด้วย เป็นลานไม่กว้างใหญ่เท่าใดนัก พอขบวนหญิงสาวไปถึงท่าน้ำเมื่อเหลียวซ้ายแลขาวไม่เห็นมีใครต่างก็เปลื้องเสื้อผ้า เหลือแต่ผ้าซิ่นผืนเดียวซึ่งนุ่งกระโจมอก เท่านั้น เมื่อผลัดเครื่องแต่งตัวแล้ว เผอิญลูกสาวเจ้าเมืองปวดเยี่ยวจึงเดินทางไปที่หาดทรายซึ่งมีพุ่มไม้บังอยู่แห่งหนึ่ง ก็ทำการเยี่ยว ณ ที่นั้น พอเยี่ยวเสร็จแล้วก็ลงไปอาบน้ำกับเพื่อน ๆ ต่างแหวกว่ายและหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน เมื่ออาบน้ำชุ่มฉ่ำใจสักพักใหญ่ และเวลาเย็นพอสมควรแล้วก็แต่งตัวเรียบร้อยและเดินทางกลับไปยังบ้านเจ้าเมือง




ฝ่ายชายหนุ่มที่แอบชมลูกสาวเจ้าเมืองและคณะอาบน้ำอยู่อย่างเพลิดเพลิน เมื่อคณะหญิงสาวกลับไปบ้านแล้ว ก็ออกจากที่ซ่อนและเดินมา ณ หาดทรายที่ลูกสาวเจ้าเมืองเยี่ยว และตรงที่ลูกสาวเจ้าเมืองเยี่ยวนั้นเป็นรูลึกพอสมควร เนื่องจากความหลงใหลในรูปร่างอันสวยงามของลูกสาวเจ้าเมืองผู้เจ้าของรูเยี่ยว พอชายหนุ่มเห็นรูเยี่ยวเท่านั้นก็เกิดกระสัน อวัยวะเพศเต่งตึงแข็งตัวขึ้นมาทันที เมื่อมองรอบ ๆ เห็นว่าไม่มีใครจึงสอดอวัยวะเพศของตนไปที่รูตรงดินทราย ด้วยความปลื้มปิติอย่างยิ่ง เมื่ออวัยวะเพศเข้าไปในรูนั้นนานเป็นที่พอใจแล้วก็เดินกลับบ้านด้วยความอิ่มเอมใจ




ด้วยความยินดีที่มีโอกาสได้สอดของลับของตนเข้าในรูที่ลุกสาวเจ้าเมืองเยี่ยวใส่ดิน ชายหนุ่มคนนั้นก็อดคุยให้พวกเพื่อน ๆ ฟังไม่ได้ว่าลูกสาวเจ้าเมืองคนสวยนั้นตนได้เอาอวัยะเพศสอดหรือแทงเข้าไปในรูเยี่ยวมาแล้ว ทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าชายหนุ่มคนนั้นได้ร่วมหลับนอนกับลูกสาวเจ้าเมือง ซึ่งต่างไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่เจ้าหนุ่มก็ยืนยันอย่างแข็งขันว่าเป็นความจริงตามที่พูด

ในที่สุดคำพูดของชายหนุ่มได้ทราบไปถึงหูเจ้าเมือง เจ้าเมืองรู้สึกโกรธเป็นอันมาก จึงให้คนใช้ไปคุมตัวชายหนุ่มมาทำการสอบสวนเพื่อพิจารณาโทษ ชายหนุ่มก็ยืนยันว่าได้สอดอวัยะเพศเข้าไปในรูเยี่ยวของลูกสาวเจ้าเมืองจริง แล้วเล่าเรื่องรายละเอียดที่ตนได้กระทำข้างต้นให้เจ้าเมืองและคนที่อยู่ ณ ที่นั้นฟังตามความเป็นจริงทุกประการ เมื่อฟังแล้วต่างก็เข้าใจ

เจ้าเมืองเห็นว่าจะเอาผิดกับชายหนุ่มไม่ถนัดนักจึงเพียงแต่ขู่และห้ามมิให้ชายหนุ่มคนนั้นพูดเรื่องดังกล่าวอีกเป็นอันขาด พอชายหนุ่มเดินทางกลับไปแล้วชายแก่คนหนึ่งซึ่งร่วมสอบสวนอยู่ด้วยบ่นขึ้นว่า "ไอ้เวรเอย กูนึกว่ารูเยี่ยวจริง ๆ กลับเป็นรูปลอมไปได้"




นิทาน เรื่อง ข้าจะบอกแกทำไม

มีสองคนผัวเมียอยู่ด้วยกันมานานหลายปี แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบมีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีอายุประมาณ 6-7 ขวบ ลูกชายคนนี้ซนจอมแก่นและเฉลียวฉลาดดี ทั้งสองผัวเมียต่างรักใคร่กันดีและอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก

อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองคนต่างก็ว่างงานจึงพากันพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ส่วนลูกชายจอมแก่นก็พอดีโรงเรียนหยุด ไม่ต้องไปโรงเรียน พอตกกลางวันลูกชายวิ่งมาบอกแม่ว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทุ่งนาใกล้หมู่บ้าน ส่วนแม่ก็บอกอนุญาต ไม่ขัดข้องแต่ประการใด




เมื่อลูกชายไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนแล้วทั้งสองผัวเมียก็พากันไปนอนเล่นพักผ่อนอยู่ในห้อง แรก ๆ ต่างคนต่างนอนอยู่ห่าง ๆ กัน และคุยกันกระหนุกระหนิงตามประสาคนรักกันไม่จืด เมื่อนานเข้าใครไม่ทราบเกิดย้ายไปนอนเคียงกันเข้า เมื่อผัวเมียเข้าใกล้กันฝ่ายผัวก็อดที่จะคันไม้คันมือไม่ได้ ย่อมมีการจับนั่นต้องนี่เป็นธรรมดา เมื่อจับกันไปจับกันมาเกิดกอดรัดกันและเลยมีการจูบกันด้วย ความคึกคะนองก็เกิดขึ้น ในที่สุดทั้งสองเกิดทำจ้ำจี้มะเขือเปราะกันกลางวัน โดยเผลอตัวมิได้ปิดประตูลงกลอน เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเข้ามาพบเห็นตนเนื่องจากบ้านอยู่โดดเดี่ยว




ฝ่ายลูกชาย เมื่อไปเล่นสนุกกับเพื่อนสักครู่ใหญ่ ๆ ก็เกิดหิวขึ้นมาจึงกลับมาบ้านโดยชวนเพื่อน 4-5 คนมาบ้านตนด้วยเพื่อจะเลี้ยงขนม แต่พอมาถึงใกล้บ้านเห็นบ้านเงียบเชียบก็เข้าใจว่า
พ่อกับแม่คงกำลังนอนหลับ จึงบอกเพื่อให้เงียบ ๆ เพราะถ้าเอะอะขณะพ่อหรือแม่กำลังนอนอาจถูกพ่อหรือแม่ดุเอา เมื่อบอกเพื่อนแล้วก็ค่อยย่องเข้าไปในบ้าน พอแง้มประตูห้องนอนเท่านั้น เจ้าเด็กน้อยถึงกับผงะเพราะเห็นพ่อกับแม่ กำลังทำอะไรกันอยู่พอดี จึงรีบถอยออกจากห้องมาทันที แล้วค่อย ๆ ย่องลงบันไดไป พอถึงตีนบันไดบ้านก็ตบตีนตบมือหัวเราะแลร้องเย้ว ๆ เพื่อน ๆ พากันสงสัยจึงถามว่า "เป็นอะไร ทำไมจึงตื่นเต้นแลร้องเช่นนั้น" เด็กคนนั้นจึงตอบไปทันทีโดยไม่ได้คิดว่า "ข้าจะบอกแกทำไม ข้าเห็นพ่อกับแม่ข้ากำลังทำอะไรกันอยู่ในห้องนอน"

กลับหน้าแรก

กุหลาบ มีลลิกมาส. คติชาวบ้าน. พระนคร:โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2509

ไพรถ เลิศพิริยกมล. คติชนวิทยา. เชียงใหม่:ภาควิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูเชียงใหม่, 2512

สาร สาระทัศนานันท์. นิทานสนุกพื้นบ้านอีสาน ร้อยแปดเรื่อง. พิมพ์ครั้งที่ 2. เลย:รุ่งแสงธุรกิจ
การพิมพ์, 2538

นำลงวันที่ 21 พ.ค 2546

อ่านเพิ่มเติมลิ้งค์ด้านล่าง หมวดตำนานไทยหมวดตำนานไทย

เก่งเกินครู |

คนภาคเหนือ |

โจรสลัดแห่งตะรุเตา|

นางนากพระโขนง | นิทานภาคใต้ | นิทาน |

นิทาน-นิทานตลกหยาบโลน ว่าด้วยเรื่องนิทานพื้นบ้าน | นิทานพื้นบ้าน-กระต่ายกับหอยขม |

นิทานพื้นบ้าน-กำเนิดปลาโลมา | นิทานพื้นบ้านไทยทรงดำ-มะหุดแสนเปากับท้าวแสนปม |

บั้งไฟพญานาค |

ประวัติวังหน้า | ปริศนาคำทาย|

เพลงไทย | เพลงไทยเดิม | พระราชวังเดิม |

พิษหอยมรณะ |

เมขลา-รามสูร |

วรรณกรรมใหม่-ตราบจนสิ้นกรรม |

สรรพลี้หวน | สังเขป ประวัติกรุงศรีอยุธยา

| ฮวงจุ้ย |
หน้าหลัก หน้าหลัก