"พระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพระยาตากในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
รัชสมัยพระที่นั่งสุริยาอมรินทร์ พ.ศ.2310 เห็นว่าเหลือกำลังจะต้านทานกองทัพพม่าได้ จึงนำกำลังตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมา
กรุงศรีอยุธยาก็ล่มสลายถูกพม่าตีแตก บ้านเมืองถูกเผาทำลาย พินาศ
พระยาตากนำกำลังกอบกู้อิสระภาพ ขับไล่พม่า ปราบปรามหัวเมืองต่างๆ สร้างกรุงธนบุรีเป็นราชธานี
ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ออกรบ ต่อสู้ขับไล่ข้าศึกและกอบกู้บ้านเมือง
ทรงทำสงครามเกือบตลอดพระชนม์ชีพจนถึง พ.ศ.2325 ไม่มีเวลาที่จะทรงพระเกษมสำราญ แม้พระราชวังที่ประทับก็มิได้จัดสร้างอย่างใหญ่โต
กลับเป็นพระราชวังที่เรียบง่าย แต่สวยงาม บัดนี้พระราชวังของพระเจ้าตากสินมหาราช
กลายเป็นสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ กษัตริย์นักรบผู้อุทิศพระชนชีพกอบกู้ประเทศไทย ทรงมีพระราชวังที่เรียบง่าย
ควรที่อนุชนจะได้ศึกษาหาความรู้ ราชวังนั้นก็คือ พระราชวังเดิม"
พระราชวังเดิมเป็นพระราชวังหลวงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่
ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของป้อมวิไชยเยนทร์
ที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดให้สร้างพระราชวังนี้ขึ้น
ภายหลังจากที่ทรงกอบกู้เอกราชให้ชาติไทยเมื่อปีพุทธศักราช
2310
เพื่อใช้เป็นที่ประทับและว่าราชการ
เมื่อทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
พร้อมกับปรับปรุงป้อมวิไชยเยนทร์และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นป้อมวิไชยประสิทธิ์
ตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังหลวงนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
เนื่องจากมีป้อมปราการที่มั่นคงสามารถสังเกตการณ์ได้ในระยะไกล
อีกทั้งยังใกล้กับเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการเดินทัพที่สำคัญด้วย
อาณาเขตของพระราชวังเดิมในสมัยของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น
มีพื้นที่ตั้งแต่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ขึ้นมาจนถึงคลองเหนือวัดอรุณราชวราราม
(คลองนครบาล) โดยรวมวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม)
และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม)
เข้าไปในเขตพระราชวัง
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
ได้ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งพระนคร
โดยสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นเป็นที่ประทับ
พระราชวังกรุงธนบุรีจึงได้ชื่อว่า
พระราชวังเดิม
ตั้งแต่บัดนั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงกำหนดเขตวังให้แคบกว่าเดิมโดยให้วัดทั้งสองที่กล่าวแล้วอยู่ภายนอกพระราชวัง
และเนื่องจากพระราชวังธนบุรีมีความสำคัญในทำเลที่ตั้ง
จึงทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์ชั้นสูงที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมาประทับ
พระราชดำรินี้ได้สืบทอดมาทุกรัชกาลจนกระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อทรงพระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ
ตึกวังหลัง
พระราชวงศ์ชั้นสูงที่เคยได้รับการโปรดเกล้าฯ
ให้มาประทับที่พระราชวังเดิมเรียงตามรัชกาลตั้งแต่รัชกาลที่
1
มีดังนี้
รัชกาลที่ 1
- เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศร์บดินทร์
ระหว่างพุทธศักราช 2325-2328
-
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
ระหว่างปีพุทธศักราช 2328-2352
รัชกาลที่ 2
-
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี
ระหว่างปีพุทธศักราช 2354-2365
-
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ามงกุฎ
ระหว่างปีพุทธศักราช 2366-2367
รัชกาลที่ 3 - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศเรศรังสรรค์ ระหว่างปีพุทธศักราช 2364-2394
รัชกาลที่ 4 - พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ระหว่างปีพุทธศักราช 2384-2413
รัชกาลที่ 5 - สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ ระหว่างปีพุทธศักราช 2424-2443
อนึ่งพระราชวังเดิมนี้ได้เคยเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชสมภพ
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม
พุทธศักราช 2330 วันที่ 18 ตุลาคม
พุทธศักราช 2347 และวันที่ 4
กันยายน พุทธศักราช 2351
ตามลำดับ
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรและประทับอยู่ที่พระราชวังเดิม
ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี
กรมพระจักรพรรดิพงศ์สิ้นพระชนม์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนนายเรือ
ตั้งแต่ วันที่
23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2443
โดยทรงขอให้รักษาซ่อมแซมของที่ปลูกสร้างที่มีมาแต่เดิม
ได้แก่ ท้องพระโรง
พระตำหนักของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และศาลศีรษะปลาวาฬ
กองทัพเรือในสมัยเมื่อยังมีฐานะเป็นกรมทหารเรือ
ได้ซ่อมแซมดัดแปลงและต่อเติมตำหนักและเรือนพัก
เป็นกองบังคับการโรงเรียนนายเรือ
อาคารเรียนและอาคารนอนของนักเรียน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดโรงเรียนนายเรือ
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449
(ซึ่งในเวลาต่อมากองทัพเรือได้กำหนดวันที่
20 พฤศจิกายน
ของทุกปีเป็นวันกองทัพเรือ)
และได้พระราชทานพระราชหัตถเลขาไว้ในสมุดเยี่ยมของโรงเรียนนายเรือดังนี้
"วันที่ 20
พฤศจิกายน รศ 125 เราจุฬาลงกรณ์
ปร.
ได้มาเปิดโรงเรียนนี้มีความปลื้มใจซึ่งได้เหนการทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว
จะเปนที่มั่นสืบไปในภายน่า"
โรงเรียนนายเรือตั้งอยู่ที่พระราชวังเดิมตลอดมาจนกระทั่งในปี
2487
ได้ย้ายไปอยู่ที่สัตหีบชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 ต่อมาในปี 2489
ได้ย้ายไปอยู่ที่เกล็ดแก้ว
ก่อนจะย้ายมาตั้งที่สมุทรปราการ
เมื่อปี พ.ศ. 2495
กองทัพเรือได้ดัดแปลงแก้ไขอาคารเดิมโรงเรียนนายเรือที่พระราชวังเดิมเป็นแบบทรงไทย
ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพเรือ
และกรมการเงินทหารเรือมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช
2492
ปัจจุบันอาคารหลังนี้ใช้เป็นที่ทำงานของผู้บัญชาการทหารเรือ
และสำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ
นอกจากนั้นหน่วยงานอื่นที่เข้ามาใช้อาคารเดิมหรือสร้างขึ้นใหม่ในบริเวณพระราชวังเดิมเป็นที่ทำการ
ได้แก่
โรงเรียนนายทหารเรือในปีพุทธศักราช
2468 กรมเสนาธิการทหารเรือปีพุทธศักราช
2481 กรมยุทธศึกษาทหารเรือในปีพุทธศักราช
2486 (ปัจจุบันเป็นกรมสารบรรณทหารเรือ)
กรมเสนาธิการทหารเรือถูกยุบเลิกในปีพุทธศักราช
2498
และในปัจจุบันกรมสื่อสารทหารเรือได้ใช้อาคารของกรมเสนาธิการทหารเรือเดิมเป็นที่ทำงาน
วังเดิม
โบราณสถานที่ยังปรากฎอยู่ในพระราชวังเดิมในปัจจุบันนี้
ได้แก่ ท้องพระโรง พระตำหนัก
เก๋งคู่
พระตำหนักเก๋งพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ป้อมวิไชยประสิทธิ์และเรือนเขียวหรืออาคารโรงพยาบาลเดิม
ซึ่งจะแยกกล่าวในแต่ละอาคารดังนี้
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาคารเก๋งคู่
และตั้งประชิดกำแพงพระราชวังทางด้านทิศตะวันออกศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ
หลังปัจจุบันนี้
สร้างขึ้นสมัยราชกาลที่ 5
เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี
กรมพระจักรพรรดิพงศ์ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เสด็จมาประทับ ณ
พระราชวังเดิมในระหว่างปีพุทธศักราช
2424-2443
ได้มีพระดำริให้สร้างศาลหลังปัจจุบันขึ้นแทนศาลหลังเดิมที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรม
ทั้งนี้ไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัดว่าศาลหลังที่มีมาแต่เดิมนั้นสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างใด
รูปแบบของศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน
ฯ
เป็นอาคารทรงไทยที่มีการผสมผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกในบางส่วน
หลังคาอาคารเป็นทรงไทยมีมุขลดสามด้าน
มุงด้วยกระเบื้องดินเผาสีส้มอมเหลือง
หน้าจั่วประดับด้วยช่อฟ้า,
ใบระกา หางหงส์ และนาคสะดุ้ง
ทำด้วยไม้สักทาสีแดง
ผนังหน้าบันเป็นฝาก่ออิฐฉาบปูนเรียบ
ไม่ปรากฎลวดลายตกแต่ง
ตัวอาคารยกพื้นสูง
มีใต้ถุนด้านล่าง
จากหลักฐานการสำรวจทางสถาปัตยกรรมและโบราณคดี
เมื่อปีพุทธศักราช 2540 พบว่า
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ
หลังปัจจุบันสร้างซ้อนทับลงบนฐานของอาคารอีกหลังหนึ่ง
ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นศาลหลังเดิม
ภายในศาลประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประทับยืน
และทรงพระแสงดาบ
ขนาดประมาณเท่าครึ่งของพระองค์จริง
อาคารท้องพระโรงเป็นอาคารทรงไทย ผังอาคารรูปตรีมุข วัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาสีส้มชนิดหางเหลี่ยงไม่เคลือบสี ด้านจั่วประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และนาคสะดุ้ง สร้างขึ้นในราวปีพุทธศักราช 2310 พร้อมกับการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี อาคารท้องพระโรงประกอบด้วยพระที่นั่งสององค์เชื่อมต่อกัน ได้แก่
สำหรับพระที่นั่งขวางสันนิษฐานว่ารูปแบบดั้งเดิม
ไม่แตกต่างจากสภาพปัจจุบันมากนัก
กล่าวคือ
ภายในอาคารประกอบด้วยห้องโถงกลางขนาดใหญ่ยกพื้นสูง
มีฝาก่ออิฐถือปูน 4 ด้าน
เจาะช่องพระทวาร
พระบัญชรโดยรอบ
สำหรับในด้านการใช้งานของอาคารท้องพระโรงนั้น
ภายหลังจากที่ได้รับพระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่จัดตั้งโรงเรียนนายเรือ
ได้มีการปรับปรุงอาคารท้องพระโรงเพื่อใช้เป็นห้องฝึกสอนนักเรียนและที่ชุมนุมอาจารย์
ในปัจจุบันกองทัพเรือได้ใช้โถงท้องพระโรงภายในพระที่นั่งองค์ทิศเหนือเป็นสถานที่จัดงานและประกอบพิธีสำคัญเป็นประจำ
ส่วนพระที่นั่งองค์ขวางได้ใช้เป็นห้องรับรองบุคคลสำคัญและห้องประชุมในบางโอกาส
ห้องบรรทมและท้องพระโรง |
ด้านหน้าท้องพระโรง |
อาคารหลังนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ได้เสด็จมาประทับ
ณ
พระราชวังเดิมในระหว่างปีพุทธศักราช
2367-2394
โดยคงจะมีพระดำริให้สร้างขึ้นพร้อมกับการปรับปรุงอาคารตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กที่มีมาแต่เดิม
อาคารนี้เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบจีนและแบบไทย
ตัวอาคารในปัจจุบันเป็นตึกก่ออิฐถือปูนชั้นเดียวยกพื้น
หลังคาทรงจั่วแบบจีน
ตั้งขนานกับอาคารเก๋งคู่หลังเล็กซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ
ภายในอาคารมีพระทวารและพระแกลแบบไทย
พระแกลทางส่วนผนังด้านทิศตะวันตกตกแต่งด้วยลายจำหลักไม้ที่บริเวณหย่อง
เป็นรูปดอกพุดตาน
ส่วนที่กรอบเช็ดหน้าที่การจำหลักลวดลายตกแต่งเป็นรูปฐานเท้าสิงห์ในตอนล่าง
ซึ่งลายนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้บ่งบอกฐานานุศักดิ์ของอาคารอันเป็นที่ประทับของเจ้านายเท่านั้น
ส่วนการตกแต่งซุ้มพระทวารของอาคารตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่
ปรากฎมีไม้จำหลักลายประดับอยู่กรอบละ
2 ชิ้น
ด้านหน้าเป็นรูปที่เหลี่ยมจัตุรัสมีตัวอักขระจีนโบราณอยู่ตรงกลางซึ่งมีความหมายในทางสิริมงคล
สำหรับส่วนหลังคาในการสำรวจก่อนการบูรณะครั้งปัจจุบันมีร่องรอยการเขียนสีตกแต่งแบบปูนเปียก
(Fresco)
เป็นลวดลายแบบจีนที่บริเวณหน้าจั่วและคอสองโดยรอบอาคาร
ลวดลายการเขียนสีนี้ส่วนใหญ่ได้เสื่อมสภาพไปเนื่องจากมีการซ่อมบูรณะที่ผิดวิธีและตามกาลเวลาที่ผ่านไป
ซึ่งลวดลายนี้ได้รับการเขียนขึ้นใหม่ตามรูปแบบเดิมในการบูรณะครั้งนี้
การใช้งานอาคารตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่นั้น
คงมีเพียงหลักฐานทางเอกสารในช่วงเวลาหลังจากที่กองทัพเรือได้เข้ามาใช้พื้นที่แล้ว
โดยในระหว่างปีพุทธศักราช
2447-2465
ได้ใช้อาคารหลังนี้เป็นที่ตั้งของกองรักษาการณ์โรงเรียนนายเรือ
รวมทั้งเป็นคลังการเรือ
ในปีพุทธศักราช 2513
ได้ใช้เป็นที่ทำการกองเครื่องช่วยการศึกษา
กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
หลังจากนั้นได้ใช้งานเป็นกราบทหารและท้ายสุดในปีพุทธศักราช
2538
ก่อนการซ่อมบูรณะตามโครงการไม่มีการใช้งานแต่อย่างใด
ตามหลักฐานที่พบจากการสำรวจทางสถาปัตยกรรมและโบราณคดีในช่วงที่บูรณะครั้งปัจจุบันทำให้สันนิษฐานได้ว่า
อาคารหลังนี้คงจะสร้างขึ้นในช่วงเวลาระหว่างสมัยต้นรัตนโกสินทร์ประมาณรัชกาลที่
1-2
ทั้งนี้เนื่องจากฐานรากของอาคารอยู่ในระดับชั้นดินของยุคดังกล่าว
รวมทั้งรูปแบบโครงสร้างและโบราณวัตถุที่พบในบริเวณนั้นก็สอดคล้องกับยุคสมัยของการสร้าง
รูปแบบของอาคารตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบจีน
แต่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงโดยเฉพาะประตูหน้าต่างเพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศในสมัยหลัง
สันนิษฐานว่าในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ
ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ได้เสด็จมาประทับ
ณ พระราชวังเดิม
ในระหว่างปีพุทธศักราช 2367-2394
ได้โปรดฯให้ซ่อมแซมดัดแปลงอาคารหลังนี้
พร้อมกับให้สร้างพระตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ในรูปแบบที่คล้องจองกับรูปแบบของอาคารพระตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กนี้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทางพระราชวังเดิมให้เป็นที่จัดตั้งโรงเรียนนายเรือ
พระตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กได้ถูกใช้งานในลักษณะคลังเก็บของเรื่อยมาจนถึงปีพุทธศักราช
2538
วังแบบเก๋งจีน
อาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสร้างขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์
ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมในระหว่างปีพุทธศักราช
2367-2394
อาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ
เป็นสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบตะวันตกหรือเรียกว่า
“ตึกแบบอเมริกัน”
และหากพิจารณาทางด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมอาจถือได้ว่าอาคารนี้เป็นตำหนักแบบตะวันตกหลังแรกที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
รูปแบบโดยทั่วไปของอาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นฯ
เป็นตึกกออิฐถือปูน 2 ชั้น
หลังคาทรงปั้นหยา
มีหน้าจั่วปีกนก 2 ด้าน
บริเวณชั้นบนของตำหนักเป็นส่วนที่ประทับ
กั้นเป็นห้องต่าง ๆ
ด้วยผนังไม้
พื้นที่ชั้นล่างสันนิษฐานว่าคงจะใช้เป็นที่อยู่ของคนรับใช้รวมทั้งเป็นส่วนเตรียมงานถวายรับใช้ในบางกรณี
ในตอนแรกสร้างอาคาร
ผนังภายในและภายนอกก่ออิฐฉาบด้วยปูนตำขัดขาวแบบโบราณ
ส่วนผนัง เพดาน พระแกล
และพระทวาร
รวมทั้งส่วนประกอบตกแต่งอาคารอื่น
ๆ
ที่เป็นไม้ทาด้วยสีเขียวแก่ทั้งหมด
สีเขียวนี้เป็นที่นิยมใช้สำหรับตำหนักหรืออาคารในสมัยนั้น
จากข้อมูลการสำรวจทางสถาปัตยกรรมและโบราณคดี
รวมทั้งหลักฐานทางเอกสารที่ยังปรากฎในปัจจุบัน
สันนิษฐานได้ว่าอาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นฯ
ได้รับการซ่อมปรับปรุงในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี
กรมพระจักรพรรดิพงศ์
เสด็จมาประทับ ณ
พระราชวังเดิมในระหว่างปีพุทธศักราช
2428-2448 ได้มีการก่อสร้างบันได
ทางขึ้นอาคารทางทิศใต้ขึ้นใหม่เป็นบันไดก่ออิฐถือปูน
ส่วนพื้นชานพักรองรับด้วยคานไม้
และจัดทำพนักลูกกรงแก้วขึ้นใหม่ทั้งหมด
เป็นรูปแบบร่วมสมัยกับการต่อเติมส่วนเฉลียงภายนอกด้านทิศใต้ของอาคารท้องพระโรงและมีการต่อเติมส่วนกันสาดโดยรอบอาคารชั้นบน
ในปีพุทธศักราช 2485
ได้มีการซ่อมแซมใหญ่อีกครั้ง
เนื่องจากหลังคารั่วและเกิดความอับชื้นมาก
ทำให้อาคารทรุดโทรมลง
ในการปรับปรุงคราวนี้ทำให้รูปแบบอาคารถูกเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเฉพาะรูปแบบของพระแกลและพระทวาร
หลังจากที่สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับบวรราชาภิเษก
ได้ทรงย้ายไปประทับ ณ
พระบวรราชวัง
พระตำหนักหลังนี้ได้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท
และต่อมาหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชวังเดิมให้จัดตั้งเป็นโรงเรียนทหารเรือ
ได้มีการปรับปรุงอาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ
เพื่อใช้เป็นที่ทำการของกรมยุทธศึกษาและกองแผนที่ทะเล
ระหว่างปีพุทธศักราช 2445-2449
หลังจากนั้นเปลี่ยนแปลงการใช้งานเป็นคลังแผนกประวัติศาสตร์
กรมเสนาธิการทหารเรือ
กองบังคับการโรงเรียนนายเรือ
ห้องทำงานผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือและสำนักงานนายทหารเรือหญิงผู้ใหญ่เป็นต้น
ป้อมนี้เดิมชื่อ
ป้อมวิไชยเยนทร์
หรือป้อมบางกอก
สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
โดยเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์กราบบังคมทูลแนะนำให้สร้างขึ้นพร้อมกับป้อมทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณระหว่างวัดพระเชตุพนกับปากคลองตลาด
แล้วให้ขึงสายโซ่อันใหญ่ขวางลำน้ำตลอดถึงกันทั้งสองฟากลำน้ำ
เพื่อป้องกันข้าศึกที่มาทางทะเล
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเห็นชอบด้วยและได้โปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์เป็นแม่กองก่อป้อมจนแล้วเสร็จในระหว่างปีพุทธศักราช
2199-2231
การขึงโซ่กั้นเรือได้ถูกกล่าวถึงในเหตุการณ์กบฎมักกะสันซึ่งเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ในสมัยสมเด็จพระเพทราชา
มีการรบระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
เนื่องจากทางไทยต้องการขับไล่ฝรั่งเศสออกจากประเทศไทย
ในการรบครั้งนี้ป้อมทางฝั่งตะวันออกได้รับความเสียหายมากจึงโปรดให้รื้อลง
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้เอกราชให้ชาติไทยและสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีได้ทรงสร้างพระราชวังหลวงในบริเวณป้อมวิไชยเยนทร์
พร้อมกับทรงปรับปรุงป้อมนี้และพระราชทานนามใหม่ว่าป้อมวิไชยประสิทธิ์ในปี
พ.ศ.2314
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของป้อมวิไชยประสิทธิ์ในปัจจุบันเป็นป้อมก่ออิฐฉาบปูน
มีกำแพง 2
ชั้นขนาดกันก่อเป็นรูปแปดเหลี่ยม
เฉพาะกำแพงชั้นในมีหอคอยกลมทรงสอบสองหลังนั่งบนกำแพงตรงมุมด้านทิศเหนือและทิศใต้
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานวังเดิมให้กองทัพเรือในปีพ.ศ.2443
ป้อมวิไชยประสิทธิ์จึงอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ทางกองทัพเรือได้ติดตั้งปืนใหญ่โบราณสมัยรัชกาลที่
1 จำนวน 12 กระบอก
ตรงบริเวณเชิงเทินของกำแพงชั้นนอกซึ่งไม่ปรากฎว่าติดตั้งมาแต่สมัยใด
บริเวณเดียวกันทางด้านตะวันออกมีปืนใหญ่
4 กระบอก
ติดตั้งเพื่อยิงสลุตในพิธีสำคัญต่าง
ๆ
ทางทิศใต้ประดิษฐานศาลเจ้าพ่อหนู
บริเวณทางเข้าป้อมทางทิศตะวันตกตรงกำแพงชั้นในติดตั้งเสาธงเพื่อชักธงราชนาวี
และธงผู้บัญชาการทหารเรือ
ป้อมปืนวิไชยประสิทธิ์
อาคารเรือนเขียวคือ
อาคารโรงพยาบาลเดิม (โรงพระยาบาลนักเรียน)
เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงจำนวน
2 หลังตั้งอยู่บริเวณ "เขาดิน"
ซึ่งเป็นเนินดินตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ภายในเขตกำแพงในพระราชวังเดิม
อาคารเรือนเขียวนี้ได้รับการก่อสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่มีการปรับปรุงพระราชวังเดิม
เพื่อใช้เป็นโรงเรียนนายเรือ
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้เป็นสถานที่รักษาพยาบาลนักเรียนนายเรือซึ่งเกิดการเจ็บป่วยขึ้น
อาคารโรงพยาบาลของนักเรียนนี้ได้ใช้งานมาตลอดช่วงที่โรงเรียนนายเรือตั้งอยู่
ณ พระราชวังเดิม
โดยคงจะมีการสร้างเรือนไม้ชั้นเดียวเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยสองหลังเพื่อใช้เป็นห้องผสมยาและห้องแพทย์
ทางด้านทิศใต้ของอาคารหลังใหญ่
โดยมีสะพานไม้เป็นทางเดินเชื่อมต่อระหว่างอาคารทั้งสามหลัง
ในปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงเรือนไม้เฉพาะที่เป็นห้องผสมยาและสะพานไม้เท่านั้น
หลังจากที่โรงเรียนนายเรือย้ายออกไปจากพระราชวังเดิม
ในปีพุทธศักราช 2485
ได้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานของอาคารหลังนี้มาตลอด
เช่นในปีพุทธศักราช 2513
บางส่วนของอาคารใช้เป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุกรมสื่อสารทหารเรือ
ส่วนในปีพุทธศักราช 2514
ใช้เป็นอาคารสโมสรเป็นต้น
ในปัจจุบัน (พุทธศักราช
2541)
อาคารโรงพยาบาลหรือเรือนเขียวอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมสื่อสารทหารเรือ
โดยตัวอาคารหลังใหญ่ถูกใช้เป็นห้องประชุม
ห้องอาหาร
ห้องออกกำลังกายและเก็บหนังสือ
ส่วนใต้ถุนเป็นที่เก็บของ
สำหรับอาคารหลังเล็ก (ห้องผสมยา)
ใช้งานเป็นสถานีสื่อสารดาวเทียมวังเดิม
และเป็นที่พักของนายทหาร
นอกจากนี้ในบริเวณพื้นที่ด้านทิศตะวันตกของอาคารติดกับมุมกำแพงพระราชวังเดิมยังปรากฎอาคารขนาดเล็กชั้นเดียวอีก
2 หลัง
ได้แก่อาคารห้องน้ำชายหญิงและอาคารเรือนครัว
ซึ่งมีการสร้างขึ้นภายหลังและในบริเวณดังกล่าวนี้ยังเป็นที่ตั้งหอติดตั้งจานดาวเทียมของสถานีสื่อสารอีกด้วย
ในการขุดสำรวจพื้นที่ระหว่างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และพระตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กระหว่างการบูรณะครั้งปัจจุบัน
ได้พบฐานอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง
4.5 เมตร ยาวประมาณ 9 เมตร
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากหลักฐานทางเอกสารประกอบ
ทำให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นอาคารศาลศีรษะปลาวาฬซึ่งบันทึกไว้ว่า
เป็นเก๋งจีนชั้นเดียวคล้ายศาลเจ้าจีน
ภายในเก๋งมีกระดูกปลาวาฬ
ศาลนี้ได้พังลงมาในวันที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี
กรมพระจักรพรรดิพงศ์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่
11 เมษายน พ.ศ.2443
แล้วไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่อีก
แต่ได้นำกระดูกปลาวาฬมาเก็บรวมไว้ที่ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินเท่านั้น
ไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าศาลนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยใด
เมื่อกองทัพเรือได้ใช้พระราชวังเดิมเป็นที่ตั้งโรงเรียนนายเรือได้รื้อซากศาลลงแล้วปรับระดับดินในพื้นที่ให้สูงขึ้น
เพื่อการใช้งานใหม่โดยนำดินจากบริเวณอื่นมากลบทับจนหมด
ดังนั้นในการขุดแต่งจึงพบหลักฐานน้อยมาก
หัวเรือพระที่นั่งสุพรรณหงษ์
และหัวเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี ซึ่งเดิมเรียกว่า "อู่เรือพระราชพิธี" สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อใช้เป็นที่เก็บเรือพระที่นั่งและเรือรบ |
หนังสืออ้างอิง
มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม. พระราชวังเดิม พ.ศ. 2541 กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2539.
อ่านเพิ่มเติมลิ้งค์ด้านล่าง หมวดตำนานไทย
นางนากพระโขนง |
นิทานภาคใต้ |
เพลงไทย |
สรรพลี้หวน |
ประวัติวังหน้า |
คนภาคเหนือ |
เมขลา-รามสูร |
ปริศนาคำทาย|
เก่งเกินครู |
พระราชวังเดิม |
วรรณกรรมใหม่-ตราบจนสิ้นกรรม |
สังเขป ประวัติกรุงศรีอยุธยา |
บั้งไฟพญานาค |
เพลงไทยเดิม |
นิทาน |
นิทาน-นิทานตลกหยาบโลน
ฮวงจุ้ย |
พิษหอยมรณะ |
โจรสลัดแห่งตะรุเตา|
ว่าด้วยเรื่องนิทานพื้นบ้าน |
นิทานพื้นบ้าน-กระต่ายกับหอยขม |
นิทานพื้นบ้าน-กำเนิดปลาโลมา |
นิทานพื้นบ้านไทยทรงดำ-มะหุดแสนเปากับท้าวแสนปม |
หน้าหลัก